ประดู่
ชื่อท้องถิ่น: | ประดู่ |
ชื่อสามัญ: | ประดู่ |
ชื่อวิทยาศาสตร์: | Pterocarpus macrocarpus Kurz |
ชื่อวงศ์: | Papilionaceae |
ลักษณะวิสัย/ประเภท: | ไม้ยืนต้น |
ลักษณะพืช: | ประดู่ป่าเป็นไม้ขนาดใหญ่ยาว สูงถึง 20 – 30 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 1.5 – 2.5 เมตร เรือนยอดสูงประมาณ 6 – 12 เมตร เป็นรูปเจดีย์ต่ำ ๆ กิ่งสั้นไม่แผ่กว้าง ปลายกิ่งส่วนมากจะชี้ขึ้น เปลือกนอกสีน้ำตาลปนเทา หนา แตกเป็นร่อง อายุมาก ๆ เปลือกในมีสีน้ำตาล มียางสีแดง เนื้อไม้แข็งสีขาวอมเหลือง แก่นสีน้ำตาลแกมแดง
ใบ เป็นใบประกอบ ก้านช่อยาว 10 – 25 เซนติเมตร มีใบย่อยประมาณ 8 – 10 ใบ ใบปลายกิ่งจะมีใบย่อยหนึ่งใบ ใบมีลักษณะคล้ายแผ่นหนังบาง ๆ ขอบใบเรียบ ปลายใบเรียวแหลม ท้องใบมีขนอ่อน ๆ ปกคลุม ประดู่ป่าจะผลัดใบในฤดูร้อนประมาณเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม และเริ่มผลิใบใหม่ในระหว่างเดือนเมษายน – พฤษภาคม
ดอก ออกเป็นช่อตามง่ามใบใกล้ยอด ดอกมีสีเหลือง ออกดอกเต็มต้น มีกลิ่นหอม ออกดอกในระหว่างเดือนมีนาคม – เมษายน
ผล เมื่อดอกผสมเกสรแล้วจะพัฒนาดอกเป็นผล มีปีกรอบ ๆ คล้ายแผ่นหนังลักษณะกลม ตอนกลางเป็นผลพองหนา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 –10 เซนติเมตร ผลอาจมี 1 – 3 เมล็ด ปีกของผลจะมีสีเขียวเมื่อยังอ่อนอยู่และจะกลายเป็นสีน้ำตาลเมื่อแก่จัด ผลจะแก่ประมาณเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน ผลติดอยู่กับต้นได้นาน ๆ ดังนั้นเมล็ดที่เก็บจากผลที่ติดอยู่กับต้นนาน ๆ จะเสื่อมความงอกได้ง่ายกว่าเมล็ดที่เก็บจากผลเมื่อแก่จัด การขยายพันธุ์ควรใช้เมล็ดที่เก็บจากต้นแก่จัดเท่านั้น เมล็ดมีสีน้ำตาลแดง ยาวประมาณ 0.4 –0.5 นิ้ว มีเปลือกหุ้มเมล็ดคล้ายหนังหุ้ม 1 กิโลกรัม มีผลประมาณ 1,400 – 1,900 ผล เมื่อตีเอาปีกออก 1 กิโลกรัม จะมีผลประมาณ 3,200 – 3,400 ผล การเก็บรักษาเมล็ดประดู่ป่าควรเก็บไว้ในที่มีอุณหภูมิต่ำ และประมาณ 4 องศาเซลเซียส บรรจุในถุงพลาสติกปิดให้สนิท จะเก็บรักษาเมล็ดไว้ได้หลายปี
|
ปริมาณที่พบ: | ปานกลาง |
การขยายพันธุ์: | - |
อธิบายวิธีการเพาะ/ขยายพันธุ์: | ประดู่ป่าขยายพันธุ์ได้หลายวิธี ตั้งแต่การเพาะเมล็ด การเสียบยอด การทาบกิ่ง การตอนกิ่ง เป็นต้น แต่วิธีที่นิยมกันโดยทั่วไปได้แก่ การใช้เมล็ดเพาะชำเป็นกล้าไม้ เนื่องจากเมล็ดจัดหาได้ง่าย การดูแลรักษากล้าไม้ทำได้ง่ายและสะดวก สามารถผลิตกล้าไม้ได้จำนวนมาก ๆ วิธีการก็ทำได้ง่ายไม่ซับซ้อน ประหยัดค่าใช้จ่าย เมล็ดที่ใช้เพาะควรเป็นเมล็ดจากผลที่เก็บมาจากต้นแม่ได้ที่คัดเลือกแล้วโดยตรง เก็บเมื่อผลแก่จัด
การเตรียมเมล็ดก่อนเพาะชำ ต้องเอาปีกออกเสียก่อน โดยการใช้เครื่องตีเมล็ดในกรณีการเตรียมกล้าไม้จำนวนมาก ๆ ซึ่งศูนย์เมล็ดพันธุ์ไม้ป่าอาเซียน-แคนาดาได้พัฒนาเครื่องตีปีกผลประดู่ป่าที่มีประสิทธิภาพสามารถตีปีกผลประดู่ป่าได้วัน 400 กิโลกรัม การตีปีกเมล็ดจะช่วยให้เกิดขัดสีผลประดู่ป่าที่มีลักษระคล้ายแผ่นหนังให้บางลง ทำให้น้ำซึมเข้าไปเต็มที่ แล้วจะนำไปหว่านในกะบะเพาะทรายที่เตรียมไว้ โดยหว่านในอัตราเมล็ดประดู่ 1 กิโลกรัม ต่อ 1 ตารางเมตร แล้วใช้ทรายละเอียดกลบบาง ๆ หรืออาจใช้ถ่านแกลบกลบก็ได้เพื่อรักษาความชื้น เพราะเมล็ดประดู่ป่าต้องการความชื้นในการงอกมาก เมล็ดประดู่ป่าจะงอกภายใน 5 – 10 วัน อัตราการงอกของเมล็ดประดู่ป่าขึ้นอยู่กับฤดูกาลที่เพาะเมล็ดด้วย ควรทำการเพาะเมล็ดในช่วงเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ เป็นช่วงที่อุณหภูมิและความชื้นเหมาะสมในการงอก โรคพืชมีน้อย และเป็นช่วงที่ต้นประดู่ป่าติดเมล็ด การใช้เมล็ดใหม่ ๆ เพาะจะให้อัตราการสูง และการย้ายชำกล้าไม้ในช่วงเวลานี้จะได้อายุและขนาดของกล้าไม้เหมาะสมกับระยะเวลาปลูกพอดี ประมาณ 6 – 7 เดือน
การย้ายชำกล้าไม้ เมื่อกล้าไม้เริ่มแตกใบจริงแล้ว 2 คู่ สูงประมาณ 5 – 6 เซนติเมตร ก็ย้ายชำลงในถุงที่เตรียมไว้ โดยทั่วไปจะใช้ถุงพลาสติกขนาด 5 x 8 นิ้ว สำหรับการชำกล้าไม้ประดู่เจาะรูที่ถึงพลาสติกก่อนเพื่อให้ระบายน้ำได้ วัสดุเพาะชำที่ใช้เป็นหน้าดินผสมกับทราย แกลบเผาและปุ๋ยคอก เพื่อช่วยให้การระบายน้ำดีขึ้น หรืออาจจะใช้ขุยมะพร้าวเป็นวัสดุเพาะชำแล้วใส่ปุ๋ยเคมีละลายช้ำ ประมาณต้นละ 0.5 กรัม ก็ได้ ก่อนย้ายชำกล้าไม้ลงถุงต้องรดน้ำถุงชำให้วัสดุเพาะชำในถุงเปียกชุ่มตลอดทั้งถุงเสียก่อน การย้ายชำควรกระทำในช่วงเช้าหรือเย็นที่อากาศไม่ร้อน
การดูแลรักษาแปลงเพาะชำและกล้าไม้ หลังจากเพาะเมล็ดแล้วต้องรดน้ำทุกวันรดน้ำเช้าและเย็นจนเมล็ดงอก เมล็ดจะใช้เวลาในการงอกประมาณ 30 วัน คอยกำจัดวัชพืชในแปลงเพาะออกด้วย สำหรับกล้าไม้ที่ย้ายลงถุงเพาะชำแล้วในระยะแรกก็ต้องรดน้ำเช้าและเย็น ให้ร่มเงาแก่กล้าไม้จนกล้าไม้ตั้งตัวได้จึงค่อย ๆ เปิดร่มเงาออก การถอนวัชพืชออกจากถุงเพาะชำกล้าไม้ การให้ปุ๋ยทางใบและยาป้องกันศัตรูพืช ควรกระทำพร้อม ๆ กันทุก ๆ เดือน การตัดรากกล้าไม้และการจัดชั้นความสูงของกล้าไม้จะกระทำไปพร้อมกัน การตัดรากกล้าไม้จะช่วยให้กล้าไม้ไม่กระทบกระเทือนเมื่อเวลานำกล้าไม้ไปปลูก ดังนั้นควรทำการตัดรากกล้าไม้โดยสม่ำเสมอเมื่อรากกล้าไม้เริ่มหยั่งลงดินแล้ว และเมื่อตัดรากกล้าไม้แล้วต้องรีบรดน้ำทันที วันละ 2 ครั้ง เพื่อให้กล้าไม้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ส่วนการจัดชั้นความสูงจะช่วยให้กล้าไม้ได้รับแสงสว่างอย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าไม่มีการจัดชั้นความสูงกล้าไม้แล้ว กล้าไม้ที่สูงกว่าจะเบียดบังกล้าไม้เล็กมิให้มีโอกาสเติบโตได้ และควรคัดเอากล้าไม้ต้นที่ไม่ดีเป็นโรคออกทิ้งไปด้วย
8. การปลูก การเจริญเติบโตและการปรับปรุงพันธุ์
ดิน ดินที่จะปลูกไม้ประดู่ควรเป็นกรดอ่อน ๆ pH ประมาณ 6.0 – 7.5 เป็นดินร่วนปนทราย ดินทราย หรือดินร่วนปนดินเหนียว แต่ต้องระบายน้ำดี ประดู่ป่าเหมาะสมที่จะปลูกในบริเวณที่เป็นดินร่วนปนทรายมากที่สุด ประดู่ป่ายังทนทานต่อโรคและแมลงได้ดี สามารถขึ้งแข่งกับวัชพืชได้และยังทนทานต่อความแห้งแล้งได้นานถึง 6 – 7 เดือน
การเตรียมพื้นที่ปลูก หลังจากแผ้วถางวัชพืช ดันตอไม้ ปรับพื้นที่สม่ำเสมอและเก็บริบสุมเผาแล้ว ควรทำการไถพรวน 2 ครั้ง ช่วยให้พื้นที่ระบายน้ำได้ดี และสะดวกในการบำรุงรักษาและการจัดการสวนป่าในภายหน้า การทำทางตรวจการและแนวกันไฟ เมื่อเตรียมพื้นที่เสร็จแล้วแนวกันไฟควรกว้าง ประมาณ 6 เมตร ถ้ามีการเตรียมพื้นที่เป็นผืนใหญ่ ควรแบ่งแปลงย่อยลงมาเป็นแปลงละประมาณ 100 ไร่ จะสะดวกในการทำงานและป้องกันไฟ
ปริมาณน้ำฝน ประดู่ป่าขึ้นได้ในพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายปี ตั้งแต่ 500 – 5,000 มม. จึงทนทานต่อความแห้งแล้งได้นานถึง 6 – 7 เดือน
อุณหภูมิ ประดู่ป่าจะขึ้นได้ในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงสุด ระหว่าง 37.7 – 44.4 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิต่ำสุด 4.4 – 11.1 องศาเซลเซียส แต่ไม่ทนต่อสภาพน้ำค้างแข็งได้
ความสูงจากระดับน้ำทะเล ประดู่ป่าขึ้นได้ดีในสภาพภูมิประเทศต่าง ๆ กัน ตั้งแต่ที่ราบและบนลาดเขา ความสูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 100 – 750 เมตร
แสง ต้องการแสงแดดเต็มที่
ระยะปลูกที่เหมาะสม ประดู่ป่าเป็นไม้มีค่าทางเศรษฐกิจที่มีการเจริญเติบโตช้า วัสดุประสงค์ในการปลูกเพื่อต้องการไม้ขนาดใหญ่ นำไปแปรรูปใช้ในการก่อสร้างทั่วไป เครื่องเรือนและเครื่องใช้ต่าง ๆ ระยะปลูกที่นิยมทั่วไปได้แก่ ระยะปลูก 2 x 4 เมตร หรือ 4 x 4 เมตร เนื่องจากประดู่ป่าเป็นไม้มีเรือนยอดและใบกว้าง เมื่อปลูกไประยะหนึ่งเรือนยอดก็จะชิดกัน ปกคลุมพื้นล่างวัชพืชไม่สามารถเติบโตได้ภายในร่มเงา และช่วยให้ต้นไม้มีรูปทรงดี แตกกิ่งก้านน้อย มีการลิดกิ่งเองตามธรรมชาติ เหมาะสำหรับไม้เนื้อแข็งที่จะนำไปแปรรูปเป็นสินค้าต่อไป
การปลูก ไม้ประดู่ป่าปลูกได้หลายวิธี ตั้งแต่การปลูกโดยใช้กล้าไม้ (pot seeding) การปลูกด้วยเหง้า (root stock) และการปลูกด้วยกล้าเปลือยราก (bare root)
การปลูกไม้ประดู่ป่าโดยใช้กล้า การปลูกวิธีนี้จะได้ผลดีและรอดตายสูง จะต้องกำหนดระยะเวลาปลูกให้เหมาะสมคือ ช่วงต้นฤดูฝน กล้าไม้ที่ปลูกจะมีช่วงเวลาที่ได้รับน้ำฝนนานจนตั้งตัวได้ก่อนถึงฤดูแล้ง การปลูกประดู่ป่าด้วยกล้าไม้จะต้องเตรียมหลุม ขนาด 25 x 25 x 25 เซนติเมตร ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยและยากันปลวกรองก้นหลุม เพราะประดู่ป่าทนทานต่อการปกคลุมของวัชพืชได้ดีก่อนนำกล้าไม้ไปปลูกควรทำกล้าไม้ให้แกร่งเสียก่อน โดยการลดการให้น้ำ คือ ก่อนปลูก 1 เดือน กล้าไม้ควรลดการให้น้ำจากวันละ 2 ครั้ง เป็นวันละครั้งในตอนเช้า ประมาณ 15 วัน ต่อมาก็ให้น้ำวันเว้นวัน
การปลุกไม้ประดู่ด้วยเหง้า การปลูกวิธีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการปลุกสร้างสวนป่าทางด้านขนส่งและการปลูก เนื่องจากเหง้ามีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา เก็บรักษาได้นาน คนเดียวสามารถขนกล้าและปลูกไปพร้อมกันได้ การเตรียมเหง้าประดู่ป่าโดยย้ายกล้าประดู่ป่าลงในแปลงที่เตรียมไว้ ชำกล้าไม้ระยะห่างระหว่างต้น 10 x 10 เซนติเมตร แล้วบำรุงรักษาเหง้าในแปลงด้วยการรดน้ำ กำจัดวัชพืช เมื่อกล้าอายุได้ประมาณ 1 ปี ก็ถอนมาตัดแต่งเป็นเหง้าให้มีความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ความโตของคอรากประมาณ 0.6 – 1.2 เซนติเมตร และตัดแต่งให้มีความยาวเหนือคอรากประมาณ 2.5 เซนติเมตร
การปลูกไม้ประดู่ป่าด้วยกล้าเปลือยราก การเตรียมกล้าไม้ประดู่ป่าเปลือยรากจะเพาะเมล็ดในแปลงกลางแจ้งแล้วย้ายชำลงแปลงให้ต้นห่างกัน 15 เซนติเมตร บำรุงรักษาตัดรากอย่างสม่ำเสมอให้กล้าไม้มีระบบรากที่สมบูรณ์เป็นการควบคุมระบบราก เมื่ออายุประมาณ 7 – 8 เดือน ก็ถอนกล้าไปปลูกได้
การปลูกประดู่ป่าในฤดูแล้ง เป็นการขยายระยะเวลาการปลูกออกไปได้ยาวนานขึ้น กล้าไม้ประดู่ป่าที่จะปลูกในฤดูแล้งควรเป็นกล้าไม้ค้างปี ประมาณ 16 เดือน ก่อนนำไปปลูกต้องเด็ดใบออกให้หมดแล้วรดน้ำให้ชื้น การปลูกจะฉีกเฉพาะก้นถุงเพื่อให้รากสามารถเจริญลงดินได้ หลุมปลูก ขนาด 25 x 25 x 25 เซนติเมตร ปลูกแล้วพรวนดินกลบให้เป็นแอ่งเล็กน้อยสำหรับไว้รองรับน้ำฝน ถ้าเป็นทุ่งหญ้าคาจะเจาะเป็นช่องปลูกวัชพืชที่เหลืออยู่จะเป็นร่มเงาให้กล้าไม้เป็นอย่างดี เมื่อถึงฤดูฝนให้รีบถางวัชพืชออกทันทีเพื่อให้กล้าไม้ได้รับแสงและความชื้นอย่างเต็มที่ ซึ่งกล้าไม้ประดู่จะสามารถทนแล้งได้ 1 เดือน
การเจริญเติบโต จากผลการทดลองปลูกไม้ประดู่ของโครงการวิจัยและฝึกอบรมการปลูสร้างสวนป่า อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ทราบว่า ไม้ประดู่จะเจริญเติบโตช้าและโตเร็วเมื่ออายุผ่านไป 1 ปี อัตราการรอดตายสูง และทนต่อสภาพการปกคลุมของวัชพืชได้ดี และที่ศูนย์ทดลองปลูกพรรณไม้ ลำเขา-เลาทราย จังหวัดกาญจนบุรี ได้ทดลองระยะปลูกของไม้ประดู่พบว่า ระยะปลูก 2 x 4 เมตร เจริญเติบโตได้ดี เมื่ออายุ 4 ปี มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 8.63 เซนติเมตร ความสูงเฉลี่ย 6.43 เมตร
|
การใชประโยชน์/ส่วนที่นำไปใช้ประโยชน์: | เนื้อไม้ประดู่ป่าใช้ในการก่อสร้างทั่ว ๆ ไป ใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก ไม้ประดู่มีความถ่วงจำเพาะ 0.92 ความแข็ง 925 กิโลกรัม มีความแข็งแรง การดัด 1334 กก/ตร.ซม. การบีบ 720 กก/ตร.ซม. ซึ่งสามารถรับน้ำหนักได้มากเหมาะสำหรับทำคาน ทำตงในงานก่อสร้างได้ดี มีความทนทานตามธรรมชาติ (ทดลองปักดิน) มากกว่า 14 ปี ไม้ประดู่ป่ามีสีสวยงามสีแดดอมเหลือง เสี้ยนสน เป็นริ้ว ไสกบ ตกแต่งได้ดี เหมาะในการทำเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง ทำเครื่องมือเครื่องใช้ เปลือกไม้ประดู่ใช้ย้อมผ่า และให้น้ำฝาดสำหรับฟอกหนัง
นอกจากนั้นไม้ประดู่ป่ายังใช้ประโยชน์ในเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ เนื่องจากมีเรือนยอดและระบบรากแผ่กว้างจะช่วยป้องกันลมและคลุมความชื้นในดิน รอบรับน้ำฝน ลดแรงปะทะหน้าดินน้อยลง และช่วยยึดดินไม่ให้พังทะลาย รากมีปมใหญ่ช่วยตรึงไนโตรเจนได้ ใบที่ร่วงหล่นลงมาทับถมพุพังเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดินอีกด้วย
อ้างอิง http://searches.safehomepage.com
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น